
คนค้าขา ยบางคนบางเจ้ าขา ยดีจนเจ๊ง อ่า นไม่ผิดหรอกครับ หมายความอย่างนั้นจริงๆ
ขา ยดี…จนกระทั่งธุรกิจเจ๊ง แล้วต้องปิดตัวลง แบบเจ้าตัวยังงงๆ กับชีวิตว่าเกิดอะไรขึ้น
เหตุการณ์เช่นนี้ มักเกิดขึ้นกับเจ้าของกิจการขนาดเล็กในบ้านเรา (ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านอาหารร้านจิปาถะ)
ที่เริ่มต้นเติบโต มาจากระบบเจ้าของคนเดียว มีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เอาความเชี่ยวชาญนั้น มาทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ เจริญก้าวหน้า มีลูกค้ามากมาย
แต่อยู่ๆก็เกิดอาการซวนเซ แล้วเจ๊งไปซะง่ายๆ มีเพื่อนรายหนึ่งอยู่ในอาการที่ว่ามานี้ โชคดีที่มาถามก่อนเจ๊ง
เพื่อนมาถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆที่ธุรกิจไปได้ดี ลูกค้ามากมาย ยอดขา ยแต่ละวัน…นับเงิ นเมื่อยมือ
แต่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้ในธุรกิจเหมือนเติม ไม่เต็มตลอด หลายปีที่ทำธุรกิจมาผมเริ่มต้น
จากคำถามง่ายๆว่า” เป็นเจ้าของกิจการ มีเงิ นเดือนเดือนละเท่าไหร่…?
“เงียบ…แทนคำตอบ ก่อนที่จะถามกลับมาว่า ทำไมต้องมีเงิ นเดือน ในเมื่อเป็นเจ้าของอยู่แล้ว
ผมถามคำถามที่สอง“แล้วเจ้าของใช้เงิ นเดือนละเท่าไหร่?” ลังเลนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่าไม่รู้ ว่าเดือนละเท่าไหร่
เพราะจะใช้อะไร ก็หยิบไปจากลิ้นชัก ไม่ได้จดไว้ว่าเท่าไหร่ อาศัยว่าถ้าเงิ นพอ
ก็หยิบไปได้ ถ้าไม่พอก็รอให้เงิ นพอก่อนแล้วค่อยหยิบ ผมถามคำถามที่สาม”
เ งินที่หยิบจากลิ้นชักไปเอาไปซื้ออะไรบ้าง “คราวนี้สาธย ายย าวเหยียด…ก็ซื้อทุกอย่าง
กินข้าวซื้อของเข้าบ้าน เลี้ยงสังสรรค์ผ่อนรถ…ฯลฯ
ผมสรุป…”นั่นแหละสาเหตุ” คนทำธุรกิจแบบโตมากับมือ ส่วนใหญ่เป็นแบบเพื่อนผมนี่แหละครับ
ไม่เคยตั้งเงิ นเดือนให้ตัวเอง ไม่เคยจดว่าใช้เงิ นไปเท่าไหร่ และใช้ไปกับเรื่องอะไร ทั้งหลายทั้งปวง
สรุปได้ 3 สาเหตุใหญ่คือ
1.ไม่แยกแยะเงิ นของธุรกิจออกจากเงิ นส่วนตัว การที่ไม่ตั้งเงิ นเดือนให้ตัวเอง เพราะคิดว่า
ตัวเองคือเจ้าของธุรกิจ และเป็นเจ้าของเงิ นทั้งหมดอยู่แล้ว จะใช้อย่างไรก็ได้
นั่นคือแนวคิด เริ่มต้นที่ผิด เพราะต้องมองให้ธุรกิจเป็นเหมือนบุคคลอีกคนหนึ่ง
ที่เรารับจ้างทำงานให้อยู่ เวลาเราจ้างลูกจ้าง จ่ายเงิ นเดือนชัดเจน ใช้เกินกว่านั้นไม่ได้
แต่ตัวเราซึ่งรับจ้างธุรกิจ ที่เราก่อตั้งขึ้นมา กลับใช้เงิ นได้ไม่จำกัด ซึ่งส่งผลทำให้เงิ น
ที่เป็นค่าใช้จ่าย ด้านเ งินเดือนไม่คงที่ ในแต่ละเดือน ขึ้นอยู่กับเรา จะเมามัน
หยิบมาใช้มากน้อยแค่ไหน ดังนั้นต้องตั้งเ งินเดือนให้ตัวเอง แล้วจ่ายเงิ นเดือน
เมื่อสิ้นเดือนเหมือนพนักงานคนอื่นๆ แล้วต้องใช้เงิ นแค่นั้น ห้ามเกิน ถ้าเกินก็ห้ามหยิบมาจากลิ้นชักอีก
ต้องไปหายืมคนอื่นเอาเอง ห้ามยืมจากลิ้นชัก ถ้าจะยืมจากลิ้นชักจริงๆ ก็ต้องจด
แล้วนำมาคืนอย่างเคร่งครัด
2.ไม่ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เมื่อจ่ายเ งินเดือนให้ตัวเองมาแล้ว ควรจะทำบัญชี
รายรับ-รายจ่ายให้ตัวเองด้วย คร่าวๆก็ได้ เอาพอรู้ว่าแต่ละวันจ่ายอะไรไปเท่าไหร่
เหลือเงิ นใช้ได้อีกเท่าไหร่ ไม่ใช่ใช้สนุกมือไปเรื่อย เพราะเห็นว่า
ธุรกิจขา ยดี ถ้าคิดว่าขา ยดี และเงิ นเดือนที่ตั้งให้ตัวเอง ไม่พอใช้ขึ้นเ งินเดือน
ให้ตัวเองซะ จะขึ้นเท่าไหร่ไม่มีใครว่า แต่ควรเป็นตัวเลขที่มีเหตุผล
และไม่ทำให้กระทบกับรายรับของธุรกิ จจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่กระทบ
ต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของธุรกิจด้วย อันนี้ถ้าไม่ทำ…แย่เลยนะของส่วนตัว
ขี้เกียจทำใช้ระบบนับเงิ น ที่เหลือในกระเป๋ายังพอได้ แต่ของธุรกิจไม่ทำบัญชี
เดี๋ยวจะรวยแบบไม่รู้เรื่อง และเจ๊งแบบไม่รู้เรื่องเช่นกัน
3.ใช้เ งินผิดประเภท เพื่อนผมเอาเงิ นที่หยิบจากลิ้นชัก ไปซื้อข้าวกิน
ไปเลี้ยงสังสรรค์ ไปซื้อของใช้เข้าบ้าน ไปผ่อนรถ…ฟังดูแล้วล้วน
แต่เป็นเรื่องส่วนตัวทั้งสิ้น เรื่องส่วนตัวต้องใช้เงิ นส่วนตัว คือเ งินเดือนของตัวเอง
แต่เ งินของธุรกิจควรจะจ่ายในสิ่งที่เกี่ยวข้อง กับธุรกิจเช่นชำระหนี้การค้า ซื้อวัตถุดิบ
จ่ายเงิ นเดือนค่าจ้างฯลฯ อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับธุรกิจ ตอนที่รับเ งินจากลูกค้า
ในเงิ นแต่ละก้อน ที่ได้รับประกอบด้วยต้นทุนของสินค้า ต้นทุนค่าดำเนินการ
และกำไรอยู่ในนั้น แต่เวลาที่เราหยิบออกมาจ่าย เรากลับมองว่า
วันนี้รับมาเท่าไหร่ โดยมองว่าเป็นรายรับล้วนๆ ไม่คิดจะแยกทุน
แยกกำไรกันเลย พอเอาไปใช้ผิดประเภท เท่ากับว่าได้ใช้ทั้งกำไร
และต้นทุนไปทั้งหมด ก็จะอยู่ในอาการ“ทุนหด…กำไรไม่เหลือ”
ขอขอบคุณ bitcoretech